


ในโลกที่กำลังเดินหน้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน คำว่า “การขจัดความยากจน” (No Poverty) ไม่ได้หมายถึงเพียงการเพิ่มรายได้หรือการแจกเงินช่วยเหลือ แต่หมายถึงการสร้าง การเข้าถึงปัจจัยพื้นฐาน อย่างเท่าเทียม ทั้งอาหาร น้ำ สุขภาพ และการศึกษา เพราะถ้าแม้เพียงแค่มื้ออาหารยังไม่เพียงพอ โอกาสทางการเรียนรู้และการใช้ชีวิตก็ถูกปิดกั้นตั้งแต่ต้นทาง
ความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
เมื่อพูดถึง ความยากจน หลายคนอาจนึกถึงภาพในชุมชนห่างไกล แต่แท้จริงแล้ว ความเหลื่อมล้ำ ก็เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยเช่นกัน นักศึกษาบางคนต้องใช้ชีวิตด้วยงบจำกัด รายจ่ายเพียงไม่กี่สิบบาทต่อวันอาจเป็นภาระใหญ่โต การขาดอาหารที่เพียงพอไม่เพียงทำให้ท้องหิว แต่ยังส่งผลต่อสมาธิและความสามารถในการเรียนรู้
คำตอบจากสวนดุสิต: อิ่มท้อง สมองแล่น
มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเล็งเห็นปัญหานี้ จึงสร้างสรรค์โครงการ “อิ่มท้อง สมองแล่น (Full Stomach, Active Brain)” เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาที่ประสบ ภาระทางการเงิน และเป็นการลงทุนในอนาคตของเยาวชน
ทุกวันพุธ ครัวสวนดุสิตจะจัดอาหารกลางวันราคาย่อมเยา พร้อม อาหารเสริม เช่น ไข่พะโล 100 ฟอง หรือไก่ทอด 100 ชิ้น ให้นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ สำหรับผู้ที่มี ภาระทางการเงินรุนแรง ก็สามารถซื้อข้าวได้ในราคาเพียง 10 บาท พร้อมกับข้าวฟรี
นี่ไม่ใช่เพียงแค่อาหารมื้อหนึ่ง แต่มันคือ ความครอบคลุม (Inclusion) และ ความเท่าเทียม (Equity) ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านความร่วมมือของอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ที่ร่วมเป็น “เจ้าภาพอาหาร” ในแต่ละมื้อ แปรเปลี่ยนความห่วงใยเป็นการกระทำที่จับต้องได้
ผลลัพธ์ที่มากกว่า “ความอิ่ม”
ตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ มีนักศึกษากว่า 100 คนต่อครั้ง ได้รับประโยชน์โดยตรง รวมกว่า 3,500 มื้ออาหาร ในปีเดียว สิ่งนี้ช่วยบรรเทา ความไม่มั่นคงทางอาหาร และลด ความเหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจในรั้วมหาวิทยาลัย
แต่ผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคือ ผลกระทบเชิงคุณภาพ ที่เกิดขึ้น นักศึกษาได้เรียนรู้คุณค่าของการแบ่งปัน บุคลากรและอาจารย์ได้สัมผัสพลังของ การสนับสนุนจากชุมชน และมหาวิทยาลัยได้พิสูจน์ว่า การดูแล กลุ่มเปราะบาง ไม่ใช่เพียงหน้าที่ แต่คือหัวใจของการศึกษาอย่างแท้จริง
จากรั้วมหาวิทยาลัยสู่เป้าหมายโลก
โครงการ “อิ่มท้อง สมองแล่น” เป็นเครื่องยืนยันว่า การขจัดความยากจน เริ่มต้นได้จากสิ่งเล็กๆ อย่างการสร้าง ความมั่นคงทางอาหาร และลด ภาระทางการเงิน ของนักศึกษา เมื่อเยาวชนได้รับ โอกาสทางการศึกษา อย่างเท่าเทียม พวกเขาก็จะเป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน
นี่คือเรื่องเล็กที่มีความหมายใหญ่ ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตนักศึกษาแต่ละคน แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยคือแรงขับเคลื่อนสำคัญของ SDG 1: ขจัดความยากจน และสามารถเป็นต้นแบบให้กับสถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง





