มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีรากฐานจากสถาบันดั้งเดิมด้านคหกรรมศาสตร์และการฝึกหัดครู (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ “สวนดุสิต–สวนสุนันทา” อันเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังสวนดุสิตในรัชกาลที่ 5 พื้นที่นี้จึงมีมูลค่าทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และภูมิทัศน์เชิงประวัติศาสตร์สูงกว่าสถาบันอุดมศึกษาทั่วไป และมหาวิทยาลัยได้ใช้จุดแข็งนี้เป็นฐานในการ “แปลงพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ของสาธารณะ” ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับ SDG 11 ในประเด็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการเปิดให้ประชาชนเข้าถึง
ในปี 2567 มหาวิทยาลัยยังคงรักษาแนวคิด “Everywhere is Learning Space – ทุกพื้นที่ของสวนดุสิตคือแหล่งเรียนรู้” ซึ่งแม้จะถูกสื่อออกมาในมิติของห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ (ข้อ 11.2.2) แต่เมื่อพิจารณาในมิติเชิงพื้นที่และศิลปวัฒนธรรม แนวคิดนี้ครอบคลุมถึง พื้นที่จัดแสดง นิทรรศการ แกลเลอรี มุมประวัติศาสตร์ และการจัดแสดงผลงานเชิงศิลปวัฒนธรรมในอาคารเรียนรู้ กล่าวคือ มหาวิทยาลัยไม่ได้จำกัด “การเปิดพื้นที่” ไว้เฉพาะห้องสมุด แต่เปิด “สิ่งปลูกสร้างที่มีนัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม” ให้คนภายนอกเข้าชมได้ภายใต้ระเบียบการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัย
ในปี 2567 มหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้ยกระดับบทบาทการเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน” (University for Community) ด้วยการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงทั้ง พิพิธภัณฑ์ในรูปแบบของสิ่งปลูกสร้าง (Tangible Heritage) และ พิพิธภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Heritage) เพื่อเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสังคมไทยเข้าด้วยกันผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญา
1. พิพิธภัณฑ์แห่งสถาปัตยกรรมและอาคารประวัติศาสตร์ (Tangible Museum)
พื้นที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิตในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในเขตพระราชวังสวนสุนันทา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังดุสิตที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดให้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2442
สิ่งปลูกสร้างหลายแห่ง เช่น
- กำแพงเก่าแนวประตู 4 ที่ก่อด้วยอิฐมอญและประดับปูนปั้นลายดอกพุดตานอันทรงคุณค่า
- อาคารเยาวภา และ อาคารวาปีบุษบากร ซึ่งเป็นอาคารโบราณสถาปัตยกรรมยุคอิตาเลียนเรอเนซองส์
- อนุสาวรีย์และภูมิทัศน์สวนสุนันทา ที่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมของราชสำนักฝ่ายใน
พื้นที่เหล่านี้ไม่เพียงเก็บรักษาไว้ แต่ยังเปิดให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน และนักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างเสรีในโอกาสต่าง ๆ เช่น การศึกษาดูงานจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงการเยี่ยมชมจากคณะผู้แทนต่างประเทศ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศติมอร์-เลสเต (MHESC)
อาคารเก่าเหล่านี้จึงเป็น “พิพิธภัณฑ์แห่งสถาปัตยกรรมการศึกษาไทย” ที่บอกเล่าความรุ่งเรืองของสตรีศึกษาและการพัฒนาการเรือนในสังคมไทยมายาวนานกว่า 90 ปี
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้รองศาสตราจารย์ ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิตเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อเข้ารับพระราชทานโฉนดที่ดินในพระปรมาภิไธย
เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2563 เวลา 18.00 น.
ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังได้รับพระราชทานโฉนดที่ดินดังกล่าว มหาวิทยาลัยได้จัดแสดงนิทรรศการขนาดเล็กภายในอาคารสำนักงานมหาวิทยาลัย ชั้น 1 เพื่อให้บุคลากร นักศึกษา และผู้มาเยี่ยมชมได้รับชมข้อมูล และภาพกิจกรรมที่แสดงถึงเหตุการณ์การรับพระราชทานโฉนดที่ดินในพระปรมาภิไธยดังกล่าว https://www.dusit.ac.th/home/2020/859633.html

2. พิพิธภัณฑ์แห่งวัฒนธรรมและภูมิปัญญา (Intangible Museum)
ควบคู่กับอาคารเก่า มหาวิทยาลัยยังสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมผ่านกิจกรรมและนิทรรศการ เช่น
- “คน ครั่ง คราฟต์” มหกรรมผ้าย้อมสีครั่งลำปาง ครั้งที่ 1 (30 มีนาคม 2567) ที่นำองค์ความรู้จากงานวิจัยมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการศิลปะผ้า พร้อมเวิร์กช็อปให้ประชาชนเข้าร่วมฟรี https://www.dusit.ac.th/home/2024/1245963.html




“Suphanburi Creative City of Music and Food” (27 กันยายน 2567) แกลเลอรีผลงานเยาวชนด้านดนตรีและอาหารท้องถิ่น https://www.dusit.ac.th/home/2024/1348993.html





“1st International Symposium on Gastronomy and Sustainable Tourism” (24–25 สิงหาคม 2567) งานประชุมวิชาการนานาชาติที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการอาหารไทยและศิลปะการจัดสำรับ https://www.dusit.ac.th/home/2024/1320853.html


“สำรับข้างวัง ตำราสวนดุสิต” (5 พฤศจิกายน 2567) นิทรรศการอาหารไทยที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมการเรือน และ Soft Power ไทยผ่านรสชาติและการแสดงพื้นบ้าน https://www.dusit.ac.th/home/2024/1368430.html

กิจกรรมเหล่านี้ทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็น พิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Living Museum) ที่ประชาชนสามารถเรียนรู้ สัมผัส และมีส่วนร่วมในศิลปวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง พิพิธภัณฑ์ของสวนดุสิตจึงไม่ใช่เพียง “ที่เก็บอดีต” แต่คือ “พื้นที่เรียนรู้ของปัจจุบัน” โดยในปี 2567 มีประชาชนและนักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ รวมกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ การเปิดพื้นที่อย่างต่อเนื่องยังส่งผลให้เกิด
- การอนุรักษ์และเผยแพร่สถาปัตยกรรมประวัติศาสตร์
- การสร้างเศรษฐกิจวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ผ้าย้อมครั่ง อาหารไทย และงานคราฟต์
- การเชื่อมโยงความร่วมมือระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อขับเคลื่อน Soft Power ไทยด้านศิลปะ อาหาร และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
- การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในบริบทของชุมชนเมืองประวัติศาสตร์
สวนดุสิตจึงเป็นตัวอย่างของมหาวิทยาลัยที่ผสาน “พื้นที่” และ “ภูมิปัญญา” เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
สร้างพิพิธภัณฑ์ที่ประชาชนไม่เพียงชมได้แต่ “มีส่วนร่วมและภาคภูมิใจได้” ด้วย
