มหาวิทยาลัยสวนดุสิตให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสืบสาน “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ในฐานะมิติสำคัญของการสร้างเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11.2.6) โดยใช้กระบวนการ “จดบันทึก ถ่ายทอด และอนุรักษ์เรื่องราวของผู้คนและพื้นที่” เพื่อให้คุณค่าทางวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในทุกตารางเมตรของสวนดุสิตยังคงดำรงอยู่ในจิตใจของคนรุ่นหลัง และขยายต่อไปยังชุมชนโดยรอบในฐานะเครือข่ายแห่งความทรงจำร่วม
1. มรดกที่มีชีวิตในรั้วสวนดุสิต: การบันทึกเรื่องราวอาคารและพื้นที่ประวัติศาสตร์ภายในมหาวิทยาลัย
สวนดุสิตมิได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา แต่ยังเป็น “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์การศึกษาสตรีไทย และวิวัฒนาการของสังคมไทยผ่านสิ่งปลูกสร้างเดิม วิถีชีวิตอันเป็นขนบธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สืบทอดมาจนเป็นสวนดุสิต ในยุคปัจจุบัน ในปี 2567 มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการจดบันทึกและจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์–ดิจิทัลเพื่อเก็บรักษาความทรงจำของพื้นที่ภายในอย่างเป็นระบบทั้ง อาคารเก่า กำแพงโบราณ ตำหนัก และสถาปัตยกรรมที่สืบทอดมาจากวังสวนสุนันทาและวังดุสิต ทางมหาวิทยาลัย มีหลายหน่วยงานภายในได้ดำเนินงานบอกเล่าเรื่องราวในอดีตตามบริบทของตนเอง ผ่านการรวบรวมข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ ภาพถ่ายเก่า และเรื่องเล่าจากศิษย์เก่า และชุมชนโดยรอบอธิบายความหมายเชิงสัญลักษณ์ของอาคาร เช่น สีชมพูของกำแพงประตู 4 ที่สะท้อนวันพระราชสมภพในรัชกาลที่ 5 ลวดลายปูนปั้นดอกพุดตานที่สื่อถึงความงดงามแบบไทยผสมตะวันตก และการปรับใช้สถาปัตยกรรมตะวันตกเรอเนซองส์ในบริบทวัฒนธรรมไทย การบันทึกเหล่านี้ไม่เพียงรักษารายละเอียดทางกายภาพของอาคาร แต่ยังเก็บรักษา “เรื่องราวและอารมณ์ของเวลา” เป็นการถ่ายทอดความทรงจำของสตรี ครู และนักศึกษาหลายยุคที่ร่วมหล่อหลอมอัตลักษณ์สวนดุสิต ซึ่งปัจจุบันได้แปลงเป็นสื่อดิจิทัลและสื่อมัลติมีเดียให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ทุกกำแพงและอาคารจึงมิใช่เพียงโครงสร้าง แต่เป็นบันทึกแห่งความภาคภูมิใจที่บอกเล่าการเดินทางของสังคมการศึกษาไทยกว่าเก้าทศวรรษ
ตัวอย่างสิ่งพิมพ์ที่เก็บรักษาเรื่องราวในอดีตไว้ ส่วนใหญ่จะมีการกล่าวถึงเชื่อมโยงอยู่ SDG 11 หัวข้อ 11.2.1 มหาวิทยาลัยสวนดุสิตกับการเปิดพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้ด้านมรดกและวัฒนธรรม ซึ่งนักศึกษา บุคลากร และบุคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ผ่านระบบ E-book มหาวิทยาลัย ในส่วนของหมวดหมู่หนังสือหายาก https://ebooks.dusit.ac.th/ ในแต่ละอาคารจึงมิใช่เพียงโครงสร้างทางกายภาพ หากแต่เป็น “บันทึกแห่งความทรงจำ” ที่เล่าถึงวิถีของครู นักเรียน และบุคลากรในแต่ละยุคสมัย และยังเป็นพื้นที่เรียนรู้สำหรับนักศึกษา บุคลากร และประชาชน ให้ได้เรียนรู้เรื่องราวของอดีตด้วยสายตาแห่งปัจจุบัน


2. ขยายรากวัฒนธรรมจากสวนดุสิตสู่ชุมชน: การบันทึกภูมิปัญญาและความทรงจำของชุมชนภายนอกพื้นที่
นอกจากการบันทึกเรื่องราววัฒนธรรมอันน่าสนใจภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิตแล้วนั้น ยังมีอีกบทบาทหนึ่งในการทำหน้าที่ขยายภารกิจการจดบันทึกมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้สู่พื้นที่ต่างๆ ผ่านเครือข่ายชุมชนโดยรอบพื้นที่กรุงเทพฯ วิทยาเขต และศูนย์การศึกษา
ในกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต บันทึกทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนเมืองเก่า ผ่านโครงการอนุรักษ์และยกระดับทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของคลองสามเสน ซึ่งครอบคลุมชุมชนวัดโบสถ์ สามเสน, วัดสวัสดิ์วารีศรีมาราม และวัดจอมสุดาราม กิจกรรมเด่นคือ “การอบรมนักเล่าเรื่องในชุมชน” ที่ชวนคนในพื้นที่มาฝึกทักษะการบอกเล่าเรื่องราวของบ้าน วัด คลอง และพิธีกรรมท้องถิ่นด้วยตนเอง ภายใต้หัวข้อ “ภูมิปัญญาในชุมชนคลองสามเสน: เรื่องเล่าและการนำชม” ทีมวิทยากรจากโรงเรียนการท่องเที่ยวฯ ถ่ายทอดความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พร้อมจัดฝึกนำชมจริงในวัดทั้งสามแห่ง เพื่อสร้าง “มัคคุเทศก์ชุมชน” ที่สามารถเป็นผู้บอกเล่าประวัติศาสตร์ของตนได้อย่างมีศักดิ์ศรี อีกทั้งมีการมอบเกียรติบัตรแก่ผู้เข้าร่วม ขณะเดียวกันยังเชื่อมโยงกับ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ (อพ.สธ.) เพื่อบันทึกและอนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นถิ่นและภูมิปัญญาเกี่ยวเนื่องในพื้นที่ริมคลองสามเสนอย่างเป็นระบบ โครงการนี้ไม่เพียงคืนชีวิตให้พื้นที่ชุมชนเก่าแก่กลางกรุง แต่ยังทำให้วัฒนธรรมที่ดูเหมือนเล็กน้อยในสายตาคนนอก กลับกลายเป็นสมบัติของสังคมร่วมสมัยอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยสวนดุสิตยังได้พัฒนา “แพลตฟอร์มคลังข้อมูลดิจิทัลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของเขตดุสิต (Digital Archives Platform of Intangible Cultural Heritage in Dusit District)” เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางรวบรวมชุดองค์ความรู้เกี่ยวกับมรดกภูมิปัญญาของชุมชนในพื้นที่ โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนให้เข้ามาเป็นเจ้าของข้อมูล สร้างการเรียนรู้และจิตสำนึกในการเห็นคุณค่าของรากทางวัฒนธรรมของตนเอง แพลตฟอร์มนี้นำเสนอเนื้อหาหลายภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น เพื่อให้ผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ทุกที่ทุกเวลา โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund: FF) จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นผู้ดำเนินการหลักร่วมกับทางสำนักงานเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร https://dusitwisdom.net/ อีกทั้งยังได้มีการจัดทำเป็นรูปเล่มสื่อดิจิตัลเผยพี่อีกช่องทางหนึ่ง https://r.mobirisesite.com/259366/assets/files/67-eBook-Example2.pdf




มหาวิทยาลัยยังขยายแนวคิด “มหาวิทยาลัยกับเมือง” ไปสู่ ศูนย์การศึกษาลำปาง ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทุนทางวัฒนธรรมผ่านงานวิจัยเชิงพื้นที่ และจัดกิจกรรม FASHION HACKATHON “คลั่งรัก ครั่งลำปาง” เปิดพื้นที่ให้นักออกแบบรุ่นใหม่ ช่างผ้า และคนในชุมชนร่วมกันสร้างสรรค์แฟชั่นจากผ้าย้อมครั่ง ถ่ายทอดภูมิปัญญาการย้อมสีจากธรรมชาติและเรื่องราวของช่างหญิงรุ่นเก่า นอกจากบันทึกองค์ความรู้แล้ว ยังต่อยอดสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน ภายในงานมีการผสมผสานศิลปะอาหารพื้นถิ่น เช่น “Up Side Down Cake with Lychee Sauce” และ “Perilla Seed Cheesecake with Sweet Orange Sauce” ที่พัฒนาโดยนักศึกษาโรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพื่อเล่าเรื่องราวรสชาติแห่งล้านนาในรูปแบบใหม่ กิจกรรมนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการ “ทำให้วัฒนธรรมเป็นของอร่อยที่กินได้ เล่าได้ และต่อยอดได้” https://www.dusit.ac.th/home/2024/1393648.html






นอกจากนี้ ศูนย์การศึกษาลำปางยังจัดพิธี ไหว้สาปู่จาครู “สวนดุสิต น้อมจิตวันทา บูชาครู” เพื่อสืบสานพิธีไหว้ครูแบบล้านนา ควบคู่กับการมอบทุนและเกียรติบัตรแก่นักศึกษาดีเด่น สะท้อนว่าการอนุรักษ์มรดกมิได้หยุดอยู่เพียงในพิธี แต่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของชุมชนการเรียนรู้อย่างแท้จริง https://www.dusit.ac.th/home/2024/1341265.html
ส่วนวิทยาเขตสุพรรณบุรี ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจชุมชน ผ่าน “โครงการฮับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (Hub of Talents in Gastronomy Tourism)” ซึ่งพัฒนาแนวคิด “สุพรรณบุรีโมเดล… เมืองต้นแบบอาหารปลอดภัยสู่ความยั่งยืน” เพื่อบันทึกและต่อยอดภูมิปัญญาอาหารพื้นถิ่นของสุพรรณบุรีให้กลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว สวนดุสิตรวบรวมข้อมูลอาหารท้องถิ่น วัตถุดิบปลอดภัย และเมนูชุมชน จัดทำเป็นฐานข้อมูลและเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (Gastronomy Route) ที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเมืองอาหารปลอดภัยสู่มาตรฐานสากล และมีการจัดเสวนา “สุพรรณบุรีโมเดล… เมืองต้นแบบอาหารปลอดภัยสู่ความยั่งยืน” ภายในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ (Thailand Research Expo 2024) พร้อมจัดแสดงผลงานนวัตกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์ใหม่ของมหาวิทยาลัยถึง 6 รายการ เช่น เครื่องดื่มสมุนไพร กาแฟผสมใบบัวบก และขนมขบเคี้ยวสำหรับเด็ก ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอในฐานะ “มรดกภูมิปัญญาอาหาร” ที่สืบต่อรากจากท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ https://www.naewna.com/relation/827972




ขณะเดียวกัน วิทยาเขตสุพรรณบุรียังร่วมงานนิทรรศการ “ของดีเมืองเหน่อ” ซึ่งจัดโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อนำเสนอสินค้าชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น สวนดุสิตได้นำองค์ความรู้ด้านการตลาดและการออกแบบผลิตภัณฑ์มาช่วยเล่าเรื่อง “ตัวตนของชาวเหน่อ” ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า สำเนียง อาหาร และภูมิปัญญา ล้วนเป็น “วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ที่ควรภาคภูมิใจ https://www.dusit.ac.th/home/2024/1328825.html
อีกด้านหนึ่ง ศูนย์การศึกษานครนายก ทำหน้าที่บันทึกมรดกชาติพันธุ์ ผ่านโครงการ “รักษ์ชุมชนคนไทยพวน” ซึ่งมุ่งบูรณาการวัฒนธรรมและอาชีพของชุมชนไทยพวนสู่การเรียนรู้ของนักศึกษาครู ณ ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชวัดฝั่งคลอง อำเภอปากพลี เพื่อเรียนรู้การทอผ้า การทำอาหาร และพิธีกรรมไทยพวน พร้อมเก็บข้อมูลเรื่องราวของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ก่อนนำมาพัฒนาเป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการสอนเด็กในอนาคต โครงการนี้จึงเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมผ่าน “กระบวนการผลิตครู” ที่จะเป็นผู้ส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมสู่รุ่นต่อไป
เพื่อให้มรดกเหล่านี้ไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน มหาวิทยาลัยยังจัดเวทีสาธารณะ “คุยสบาย ๆ Life สาระ” ครั้งที่ 284 หัวข้อ “คุยสบายๆ สไตล์ Nostalgia Tourism” ซึ่งเปิดโอกาสให้นักวิชาการและคนรุ่นใหม่ได้ถกเถียงแนวคิด “การท่องเที่ยวเชิงความทรงจำ” ว่าจะใช้เรื่องราวและอารมณ์ของอดีตสร้างแรงบันดาลใจแก่เมืองในอนาคตได้อย่างไร กิจกรรมนี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่สื่อสารแนวคิดการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในรูปแบบร่วมสมัย และช่วยย้ำภาพลักษณ์ของสวนดุสิตในฐานะมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต https://www.dusit.ac.th/home/2024/1329087.html
3. บทสรุป: มหาวิทยาลัยสวนดุสิตในฐานะผู้บันทึกความทรงจำของสังคมไทย
การดำเนินงานทั้งหมดภายใต้ SDG 11.2.6 แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยสวนดุสิตมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ “ผู้บันทึกและผู้ส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ทั้งในเชิงพื้นที่ (Place-based Heritage) และเชิงชุมชน (Community Heritage) มหาวิทยาลัยได้ผสานพลังของงานวิชาการ การวิจัย และการเรียนรู้ร่วมกับการอนุรักษ์คุณค่าทางวัฒนธรรมไว้
การบันทึกและอนุรักษ์ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหนังสือ หากแต่ขยายสู่ชีวิตจริงของผู้คน ผ่านกิจกรรม การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยน และพิธีกรรมที่ยังคงมีลมหายใจ ทุกพื้นที่ของสวนดุสิตจึงกลายเป็น “ห้องเรียนของวัฒนธรรม” ที่ผู้เรียนและชุมชนสามารถเข้ามาเรียนรู้และร่วมสร้างคุณค่าทางจิตวิญญาณร่วมกัน
สวนดุสิตยืนหยัดในบทบาทของมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน ที่ไม่เพียงเก็บรักษามรดก หากยังเปิดประตูให้ผู้คนได้สัมผัส เข้าใจ และมีส่วนร่วมในการสืบสานความงดงามเหล่านั้นอย่างภาคภูมิใจ เพื่อให้ “ความทรงจำของวัฒนธรรม” ไม่ถูกเก็บไว้เฉพาะในอดีต แต่ยังคงมีชีวิตในปัจจุบัน และส่งต่อสู่อนาคตอย่างยั่งยืน สมดังเป้าหมายของ SDG 11 — เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
