มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเชื่อมั่นว่า ความยั่งยืนในองค์กรไม่ได้เริ่มต้นจากโครงสร้างพื้นฐานหรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย หากแต่เริ่มจาก “คน” ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของทุกการเปลี่ยนแปลง ภายใต้ปรัชญานี้ มหาวิทยาลัยได้กำหนดนโยบาย “ค่าจ้างเพื่อการดำรงชีพ” (Living Wage Policy) เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่บุคลากรทุกระดับ ให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2567 มหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้ประกาศใช้ “ประกาศมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรื่อง กำหนดอัตราค่าจ้างลูกจ้างของมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2567” ซึ่งเป็นแนวทางในการบริหารค่าตอบแทนที่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่าของแรงงาน” มากกว่า “ต้นทุนแรงงาน” โดยกำหนดอัตราค่าจ้างที่สูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศอย่างชัดเจน
ประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรทุกคนได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอต่อค่าครองชีพ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งมีค่าครองชีพสูงกว่าจังหวัดอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ อัตราค่าจ้างที่กำหนดจึงสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างกลางที่ประกาศไว้ในปีเดียวกัน ซึ่งระบุอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 363 บาทต่อวัน หรือประมาณ 8,140 บาทต่อเดือน (ประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ฉบับที่ 12 และตารางอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 – กรมประชาสัมพันธ์ (PRD))
มหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้จัดทำ “โครงสร้างอัตราค่าจ้างลูกจ้าง” โดยแบ่งตามระดับคุณวุฒิการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบในแต่ละตำแหน่ง ดังนี้
ตารางอัตราค่าจ้างลูกจ้างของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. 2567
เปิดหน้าประกาศมหาวิทยาลัย เรื่องกำหนดอัตราค่าจ้างลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ตามลิงค์
อัตราค่าจ้างดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของมหาวิทยาลัยในการสร้าง “โครงสร้างค่าตอบแทนที่ยั่งยืน” โดยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและความรับผิดชอบในแต่ละตำแหน่งงาน นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยยังได้กำหนดให้มีการ ทบทวนอัตราค่าจ้างเป็นประจำทุกปี เพื่อปรับให้เหมาะสมกับอัตราเงินเฟ้อและสภาพเศรษฐกิจของประเทศ

นโยบายนี้มิได้เกิดจากการคำนวณทางบัญชีเท่านั้น แต่เกิดจากการรับฟังเสียงของบุคลากรทุกกลุ่มภายในมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับสวัสดิการและค่าตอบแทน ซึ่งเป็นการสะท้อนแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Management)
การปรับโครงสร้างค่าจ้างดังกล่าวส่งผลให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยมีความมั่นคงทางรายได้มากขึ้น มีแรงจูงใจในการทำงาน และรู้สึกภาคภูมิใจในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของแรงงานจริง ๆ และนอกจากการปรับอัตราค่าจ้าง มหาวิทยาลัยยังได้ดำเนินโครงการเสริมสวัสดิการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต เช่น การจัดสวัสดิการด้านสุขภาพ การสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านกองทุนสวัสดิการพนักงาน การให้ทุนการศึกษาแก่บุตรของบุคลากร รวมถึงการจัดอบรมเรื่องการวางแผนการเงินในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรมีทักษะในการบริหารรายได้ของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายค่าจ้างเพื่อการดำรงชีพของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตจึงไม่เพียงเป็นการดูแลในมิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความไว้วางใจในระดับองค์กร เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า “แรงงานทุกคนในสวนดุสิตมีคุณค่า” และ “ความมั่นคงของชีวิตคนทำงานคือรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
มหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ แต่สามารถบริหารจัดการค่าตอบแทนในระดับที่สะท้อนทั้งความเป็นธรรมและศักยภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างสมดุล นี่คือแบบอย่างขององค์กรที่นำหลัก “งานที่มีคุณค่า (Decent Work)” มาปรับใช้จริงในทุกระดับของการบริหารบุคลากร และเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ตอกย้ำว่า ความยั่งยืนที่แท้จริง เริ่มต้นจาก “ความเป็นธรรมในค่าตอบแทน”
เอกสารอ้างอิง
